ถือกำเนิดพระวิสุทธิญาณเถร หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย
พระวิสุทธิญาณเถร หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านเป็นชาวจังหวัดร้อยเอ็ด เกิดเมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๔๖๘ ตรงกับวันอังคาร ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีฉลู เวลาเที่ยงวัน ณ หมู่บ้านเหล่างิ้ว ตำบลจังหาร อำเภอจังหาร จังหวัดร้อยเอ็ด
โยมบิดาชื่อ สอน นามสกุล มติยาภักดิ์ โยมมารดา ชื่อ บุญ นามสกุล มติยาภักดิ์ โยมมารดาของท่านเป็นบุตรีคนเล็กของ คุณหลวงเสนา ผู้นำศาสนาพราหมณ์ ในท้องถิ่นนั้น หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดา เดียวกันเพียง ๒ คน คือ
๑. นายหนู มติยาภักดิ์
๒. หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย
คุณโยมมารดาของท่านได้ถึงแก่กรรมตั้งแต่ท่านยังเล็กอยู่ มีอายุได้ประมาณ ๒ ขวบหลังจากนั้นก็ได้ตกเป็นภาระของคุณตาหรือคุณหลวงเสนาได้ให้การอุปการะ เลี้ยงดูต่อมา แต่ท่านได้อยู่กับคุณตาไม่นานนัก คุณตาก็ถึงแก่กรรมจากไปอีก
กล่าวถึง คุณหลวงเสนา คีอคุณตาของหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย นั้น ท่านเป็นบุคคลที่มีความสำาคัญคนหนึ่ง และเป็นที่เคารพนับถือของประชาชน ในถิ่นนั้นมาก คือท่านเป็นหัวหน้า ใหญ่ เป็นผู้นำ ศาสนาพราหมณ์ และเป็นผู้นำประกอบพิธี กรรมเกี่ยวกับการนชาเทวดาตามลัทธิศาสนา
หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านได้ถือกำเนิด ในสกุลของศาสนาพราหมณ์วันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๕ ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ จะมีการแห่ต้อนรับปีใหม่ส่งท้ายปีเก่า ขบวนแห่ในปีนั้นเทพ ธิดาทรงหลังเสือ และมีวัวประจำปีฉลู มีการตั้งขบวนอยู่ที่บ้าน หัวหน้า คือบ้านคุณหลวงเสนา และจะต้องแห่ไปรอบๆ หมู่บ้าน ปกติจะต้องเริ่มแห่ตอนเที่ยงวัน โดยบังเอิญบุตรีของท่านปวด ท้องคลอดบุตรตรงกับเที่ยงวันพอดี คุณหลวงเสนามาวุ่นอยู่ใน เรื่องคลอดบุตรทำให้เลยเวลาแห่ ตามธรรมดาแล้วเมี่อถึงกำหนดเวลาเที่ยงวัน
คุณ หลวงเสนาจะต้องออกไปสั่งให้ จุดพลุ ตะไล ตีฆ้อง ตีกลอง เมี่อท่านไม่ได้ ออกมาสั่ง การแห่ก็เลยหยุดแค่นั้น ปีนั้นก็เลยไม่ได้แห่ แล้วสัญลักษณ์รูปเสือและวัว ก็มาตั้งอยู่ที่ปลายเท้าเด็กที่คลอดออกมา ชาวบ้านทั้งหลายก็รังเกียจในตัวทารก เนื่องจากเกิดมาทำลายพิธีการแห่ครั้งนี้
ด้วยนิมิตหมายในครั้งนี้ คุณหลวงเสนาได้พยากรณ์ ทำนายท่านไว้ว่า “เด็กคนนี้จะต้องเป็นผู้เปลี่ยนแปลงศาสนาเดิมของตระกูลในวันข้างหน้าอย่าง แน่นอน” เนี่องจากการเกิดของท่านต้องทำให้เสียพิธี จึงถือเป็นลางอย่างหนึ่งที่จะทำ ให้ศาสนาพราหมณ์ในถิ่นนั้นสิ้นสุดลง
และต่อมาปรากฏว่าภาย หลังหลวงปู่สมชายู ฐิตวิริโย ได้อุปสมบทในบวรพุทธศาสนา แล้ว ได้ศึกษาประพฤติปฏิบัติธรรมะจนเกิดความซาบซึ้งใน พระศาสนาพอสมควรแล้ว ท่านก็ได้เอาธรรมะไปอบรมสั่งสอน ประชาชนชาวบ้านในท้องถิ่นนั้นให้เกิดศรัทธาปสาทะ ปัจจุบัน ประชาชนชาวบ้านในท้องถิ่นก็ได้หันมานับถือพุทธศาสนา กันจนหมดสิ้น
ภาระหน้าที่ความรับผิดชอบ
ภายหลังจากคุณหลวงเสนา ผู้เปรียบเสมือนหนึ่งร่มโพธิ์ร่มไทร หรือดวงประทีปที่เคยให้แสง สว่างและความร่มเย็น ได้ถึงแก่ กรรมลงอย่างกะทันหันด้วยอหิวาตกโรคระบาด ความรุ่งโรจน์ และแสงสว่างได้ดับวูบลงอย่างหน้าใจหาย อนาคตมีดมน มอง ไม่เห็นทิศทางว่าจะดำเนินวิถีชีวิตอย่างไรต่อไป
คุณแม่บังเกิดเกล้าจากไปตั้งแต่ท่านยังไม่ทราบว่า หน้าตาเป็นอย่างไรแล้วยังไม่พอ คุณตาผู้เปรียบเสมือนหนึ่งแม่ บังเกิดเกล้าแทนคุณแม่ที่จากไป ก็มาจากไปอีกเป็นคนที่สอง คุณพ่อก็ยังมาปล่อยทิ้ง๒1สนใจเลี้ยงดูท่านเลยความว้าเหว่วังเวงความสังเวชเศร้าโศก และความสลดอย่างสุดซึ้ง ได้เกิดขึ้น อย่างเหลีอวิสัยที่จะพรรณนาให้ถูกต้องตามความรู้สึกได้ใน
ขณะนั้น เมี่อเหตุการณ์หรือมรสุมร้ายผ่านไปแล้ว ท่านก็ได้ไป อาศัยอยู่กับญาติผู้หนึ่ง มีศักดิ์ เป็นพี่ชาย ใน ฐานะเป็นลูกผู้พี่ ก็ ได้อยู่ร่วมกันมาด้วยดีมีความสุขและราบรื่นมาระยะหนึ่ง มรสุม ลูกใหม่ก็เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สาม คือพี่สะใภ้ได้มาเสียชีวิต จากไปอย่างไม่มีวันกลับอีกปล่อยให้ลูกเล็ก ๆ ๔-๕ คนเป็น กำพร้า
หลวงปู่จึงต้องรับผิดชอบเป็นภาระเลี้ยงดูทำหน้าที่ เสมือนแม่บ้านและผู้ปกครองอย่างเต็มความสามารถ เพราะหลังจากพี่สะใภ้จากไปแล้ว พี่ชายก็ประพฤติตัวเกเร มั่วสุมเรื่องอบายมุขทำตัวเป็นนักเลงหัวไม้ หาได้สนใจต่อหน้าที่ของตนไม่ ความเป็นไปภายในครอบครัวทั้งหมดจึงตกเป็นภาระหน้าที่ของท่านจะต้องรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง ท่านจึงพยายาม ทุกวิถีทางเพื่อสร้างฐานะทางครอบครัวให้ขึ้นมาเทียมบ่าเทียมไหล่กับคนอื่น
ท่านได้ยึดอาชีพเป็นพ่อค้า ค้าธ่งของทั่วไป ระหว่างหมู่บ้านกับตลาด วันไหนค้าขายมีกำไรมากหน่อยก็ซื้ออาหารการบริโภคมาฝากคนเฒ่าคนแก่และฝากเด็กๆในหมู่บ้าน ให้ได้รับประทานกัน นิสัยของท่านนั้นเป็นผู้เอื้อเฟื้อมาตั้งแต่ สมัยเป็นเด็กๆ แล้ว จึงติดตัวท่านมาจนถึงปัจจุบันนี้
ในสมัยที่ท่านกำลังดิ้นรนหาเงินสร้างูฐานะอยู่นั้น ท่านมี อายุเพียง ๑๔ ปีเศษและต้องหอบหิ้วเลี้ยงดูหลานอีก ๔-๕ คน บ้านที่จะอยู่อาศัยก็ไม่มี ต้องไปขออาศัยอยู่ใต้ถุนบ้านญาติ คนหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้รับความเอื้อเฟื้อจากผู้เป็นเจ้าของบ้านเท่าไร นัก จึงเป็นเหตุให้ท่านต้องดิ้นรนมุ่งมานะพยายามหาเงินเพื่อ ซื้อบ้านอยู่เป็นของตัวเอง ท่านได้พยายามหาเงินเก็บเงินทีละ เล็กทีละน้อย และพี่ชายก็มักจะแอบมาลักขโมยไปเป็นประจำ ทั้งเสียใจทั้งน้อยใจในตัวของพี่ชายเป็นยิ่งนัก ทั้งๆ ที่ลูกของตัวเองก็ ไม่เลี้ยงแล้วยังจะมาขโมยเงินที่ท่านหามาได้ไปใช้เสียอีก
ท่านได้ดิ้นรนหาเงินสร้าง ฐานะของท่านอยู่ถึง ๒ ปีกว่า ด้วยการเป็นพ่อค้าบ้าง บางครั้งวัดใกล้บ้านมีงานมีการชกมวย ก็สมัครขึ้นชกมวยอีกด้วย หนทางใดที่จะหาเงินได้โดยสุจริต แล้ว ท่านยอมทุ่มเทกำลังกายกำลังใจทุกอย่างเพี่อแลกกับเงินที่จะนำมาเลี้ยงดูครอบครัว บางครั้งยังเคยไปรับจ้างเถ้าแก่คนจีน ในตลาดร้อยเอ็ดหมุนเครื่องรถยนต์โดยสารร้อยเอ็ด-ขอนแก่น
พออายุได้ประมาณ๑๗-๑๘ปีความพยายามของท่าน ก็ได้สำเร็จขึ้นมาเป็นที่น่าพอใจ ได้จัดซื้อบ้าน ๑ หลัง ราคา ๗๕ บาท เกวียน ๑ เล่ม วัวราชามัย ๑ คู่ ราคา ๗๕ บาท และธ่ง อำนวยความสะดวกด้านอื่นๆ อีกหลายต่อหลายอย่าง จึงนับว่า ท่านมีนิสัยเป็นหัวหน้าและเป็นผู้นำที่ดี คือรู้จักรับผิดชอบตัวเองและส่วนรวมมาตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่นวัยหนุ่ม ท่านจึงเป็นที่ ยอมรับเป็นที่ยกย่องสรรเสริญ และเป็นที่เคารพนับถือของผู้ที่ใกล้ชิด ตลอดทั้งบุคคลทั่วไปในหมู่บ้านนั้นอีกด้วย
ท่านได้ใช้ ชีวิตอยู่ในทางฆราวาสวิสัยจนถึงอายุ ๑๙ ปี ด้วยความเบื่อ หน่ายต่อความเป็นอยู่ของโลกที่เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย และเต็มไปด้วยความเป็นทุกข์ ไม่เที่ยงน่าเบี่อหน่าย ท่านจึงคิด ที่จะสละเพศฆราวาสวิสัยออกบวชในบวรพุทธศาสนา เพื่อ แสวงหาความพ้นทุกข์
เนื่องจากท่านมีอุปนิสัยในทางธรรมตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี ท่านมักจะฝันอยู่เป็นประจำทุกๆ คีน เป็นระยะเวลา ๔ ปีกว่า ว่าในอดีตชาติได้เคยบวชเป็นนักพรตบำเพ็ญพรหมจรรย์ โดย ปราศจากคู่ครองมาแล้ว ๓ ชาติ ชาติแรกได้ฝันไปว่าได้เกิดเป็น ลูกของชาวประมง เป็นบุตรชายคนเดียวของพ่อแม่ ซึ่งอาศัย อยู่ในเกาะกลางทะเลแห่งหนึ่ง ซึ่งมีอาชีพในทางจับปลา และ มีคุณลุงซึ่งบวชเป็นหัวหน้าฤๅษีมาบิณฑบาตที่บ้านประจำ อุปนิสัยสมัยเด็กไม่ชอบทำปาณาติบาต ลุงซึ่งบวชเป็นฤๅษีชัก ชวนให้ไปอยู่ด้วยกัน เลยติดตามลุงไปบวชแล้วบำเพ็ญพรต พรหมจรรย์จนได้เป็นอาจารย์ฤๅษี
ชาติต่อมามีญาติเป็น หัวหน้าฤๅษีอยู่ในเขาแห่งหนึ่ง และได้มาบวชกับญาติบำเพ็ญ พรตอยู่ในเขาลูกหนึ่ง จวบจนสิ้นอายุขัยในเขาลูกนั้น ชาติที่ ๓ ได้บวชเป็นฤๅษีในป่าใหญ่ เนี่องจากมีอุปนิสัยมาแล้ว ๒ ชาติ บำเพ็ญพรตบูชายัณต์ จนได้เป็นหัวหน้าฤๅษี ประพฤติ พรหมจรรย์อยู่ในป่าใหญ่จนสิ้นอายุขัย
อุปนิสัยในทางธรรม
เมื่อครั้งสมัยที่คุณตาหลวงเสนายังมีชีวิตอยู่ คุณตาของท่านก็พยายามอบรมสั่งสอนทุกวิถีทางที่จะให้เกิดความรู้ความสามารถ เพื่อให้ได้เป็นผู้ดำรงวงศ์สกุลสืบไป เพราะว่าคุณหลวงเสนาท่านได้มองเห็นลักษณะพิเศษของหลานชายหลายอย่าง ซึ่งส่อแสดงให้เห็นว่าเป็น ลักษณะของบุคคลสำคัญคนหนึ่งในอนาคตข้างหน้า
แต่เนื่องด้วยนิสัยปัจจัยเก่าที่หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านได้เคยสร้างสมอบรมมาแล้วตั้งแต่อดีตชาติ เมี่อมาประสบเหตุการณ์ที่ทำให้ท่านเกิดความเบื่อหน่ายในชีวิตฆราวาส และพอใจในเพศของนักบวช ซึ่งมีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ สันโดษ แสวงหาความพ้นทุกข์แต่อย่างเดียว ท่านมีความพอใจเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
สมัยที่คุณตาหลวงเสนายังมีชีวิตอยู่นั้น หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านก็มีความสนใจในธรรมะทางพุทธศาสนาเป็นพื้น ฐานอยู่แล้ว ท่านจึงได้เสาะแสวงหาหนังลอที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนามาอ่านอยู่เสมอๆ หนังสือที่ท่านชอบอ่านมาก ที่สุดในสมัยนั้นคือ หนังสือพุทธประวัติ บางครั้งท่านก็ได้หลบหนีคุณตาไปฟังเทศน์พระกรรมฐานอีกด้วย เคยไปฟังเทศน์จากพระอาจารย์นาค โฆโส ซึ่งเป็นพระกรรมฐานสาย หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถร ที่มีชื่อเสียงอีกองค์หนึ่งในสมัยนั้น
แต่การกระทำของหลวงปู่หาได้ทำอย่างเปิดเผยไม่ เพราะเขาถือว่าเป็นการกระทำผิดต่อลัทธิและศาสนาของ บรรพบุรุษอย่างร้ายแรงทีเดียว วันไหนที่คุณตาหลวงเสนาสืบรู้เข้าท่านก็จะต้องถูกจับลงโทษทันที บางครั้งถูกเฆี่ยนตี และมัดมือไพล่หลังตากแดด อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อไม่ให้เป็นตัวอย่างแก่คนอื่น และเพื่อจะให้เข็ดหลาบจะอย่างไรก็ตาม ถึง แม้ว่าจะมีการระมัดระวังแค่ไหน การกระทำของหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย หาได้รอดพ้นสายตาของคุณตาหลวงเสนาไปได้ไม่
บางครั้งก็ถูกจับได้และได้ถูกลงโทษดังกล่าวมาแล้วนั้น คือถูกตีและ ถูกมัดมือไพล่หลังตากแดด ถึงแม้ว่าท่านจะถูกคุณตาลงโทษอย่างไร ท่านก็ไม่เคยร้องไห้ ไม่เคยขอความเห็นใจจากผู้ลงโทษเลยเด็ดขาดนิ่ง เงียบ เฉย ตลอดเวลา เมื่อคุณตาซักถามว่าเข็ดหรือยัง หลาบหรือยัง ท่านก็นิ่ง เงียบ เฉย อยู่อย่างนั้น
การสนใจอ่านหนังสือธรรมะ หรือหนังสือพุทธประวัติ ตลอดจนไปฟังเทศน์พระกรรมฐานและการไปทำบุญกับพระตามวัดต่างๆ ที่เป็นสานักปฏิบัติก็ได้ดำเนินไปเรื่อยๆ ไม่หยุดยั้งแต่ท่านก็ทำอย่างสุขุมรอบคอบยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน เพราะเกรง ใจคุณตาและกลัวคุณตาจะลงโทษอีก จึงนับได้ว่าเป็นเรื่องแปลกมาก ทั้งๆ ที่ท่านก็เกิดและอยู่ในกลุ่มของศาสนาพราหมณ์ แต่ท่านมีความสนใจเลื่อมใสในทางพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง
ข้าพเจ้าผู้เขียนเมื่อได้ยินท่านเล่าถึงประวัติตอนนี้แล้ว ก็อดคิดถึงครั้งสมัยพุทธกาลไม่ได้ ตัวอย่างสาวกของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ก็ล้วนแต่เป็นผู้นับถือศาสนาอื่นมาก่อนแทบทั้งนั้น ฉะนั้นเรื่องนี้จึงไม่ใช่ของแปลกสหรับผู้มีวาสนาบารมี เพราะนิสัยปัจจัยเก่าดลบันดาลให้เป็นไป